นนทบุรี 9 ธ.ค.-รัฐมนตรีพาณิชย์เริ่ม Kick Off จ่ายเงินส่วนต่างข้าว-ยาง รับพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรทั้ง 2 กลุ่มให้ได้รับเงินดูแลครอบครัว ย้ำเตรียมรอหน้า ATM ธ.ก.ส. ได้เลย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวการจ่ายเงินประกันรายได้ ข้าว-ยางปี 3 ว่า วันนี้เป็นวันที่สำคัญต่อเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับผู้ปลูกยางพารา ที่รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรตามเกณฑ์ชดเชยกับราคาตลาดที่ไม่ถึงรายได้ที่ประกัน สำหรับข้าวค้างจ่าย 5 งวด และยางค้างจ่าย 2 งวด
แต่หลังจากท่านนายกรัฐมนตรีขยายเพดานตามพระราชบัญญัติวินัยการคลัง เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2564 มีผลให้เพดานเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% สามารถนำเงินที่มีอยู่มาจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับยางพารา
ในส่วนงวดที่ 3 ที่จะมาจ่ายให้ครบโดยเริ่มจ่ายตั้งแต่วันนี้ (9 ธ.ค.) เป็นต้นไป ซึ่งแบ่งเป็นจ่ายงวดที่ค้างอยู่ 5 งวดพร้อมกัน คือ งวดที่ 3 บางส่วนและงวด 4-7 รวมเป็นเงิน 64,847 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 8 จะจ่ายวันที่ 14 ธ.ค.เป็นเงิน 3,720 ล้านบาท และงวดที่ 9-33 จะทยอยจ่ายทุก 7 วันจนครบ โดยงวดสุดท้าย วันที่ 27 พ.ค. 65 นี้
ทั้งนี้ เกษตรกรครัวเรือนที่ได้รับเงินส่วนต่างสูงสุดสำหรับผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ สูงสุด 58,988 บาท ข้าวหอมนอกพื้นที่สูงสุด 60,086 บาท ข้าวหอมปทุม สูงสุด 36,358 บาท ข้าวเปลือกจ้าว สูงสุด 67,603 บาท ข้าวเหนียว 71,465 บาท สามารถช่วยชาวนาได้ประมาณ 4.7 ล้านครัวเรือน ขณะที่เงินก้อนที่ 2 คือ
เงินในมาตรการคู่ขนานซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เช่น เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางเป็นเวลา 5 เดือนเพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากจนเกินไป ช่วยตันละ 1,500 บาท หรือสหกรณ์เก็บไว้จะช่วยตันละ 1,500 บาท และช่วยเหลือดอกเบี้ย ถ้าสหกรณ์เก็บข้าว 12 เดือน ช่วยดอกเบี้ย 3% ถ้าโรงสี เก็บข้าว 6 เดือน จะช่วยดอกเบี้ย 3% เพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากเกินไปและไปกดราคาข้าวในตลาด
นอกจากนี้ ก้อนที่สาม คือ ช่วยค่าบริหารจัดการหรือปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท โดยจ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เป็นต้นไป เป็นเงิน 53,871 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.7 ล้านครัวเรือน ขณะที่ชาวนาที่น้ำท่วมเสียหายจะได้เงินอีกก้อนหนึ่ง คือ เงินชดเชยความเสียหายจากอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติ โดยชาวนาที่ปลูกข้าวแล้วน้ำท่วม จะยังได้รับเงินส่วนต่างจากโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว เพราะขอให้ปลูกจริง ไปขึ้นทะเบียนแม้พืชผลจะเสียหายเพราะภัยธรรมชาติจะยังได้รับเงินช่วยเหลือส่วนต่างเช่นกัน
“แม้ราคาตกไปช่วงหนึ่งแต่ขณะนี้ถือว่าราคาข้าวกระเตื้องขึ้น สำหรับข้าวแห้งที่ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาข้าวเปลือกเจ้าขณะนี้ขึ้นไป 7,700-8,100 บาทแล้ว
การส่งออกก็ดีขึ้นครึ่งปีหลังส่งออกข้าวได้เยอะ ครึ่งปีแรกเดือนละ 400,000-500,000 ตัน ตอนนี้เดือนละ 700,000-800,000 ตัน ซึ่งอาจทำได้ทั้งปีถึง 6,000,000 ตัน เพราะเราสามารถแข่งขันเรื่องราคาได้จากค่าเงินบาทที่อ่อนลงและมาตรการอื่นๆที่ช่วยกันทำงานกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น”นายจุรินทร์กล่าว
ส่วนยางพาราจะเริ่มจ่ายงวดที่ 1-2 ตั้งแต่วันนี้ ( 9 ธ.ค.) เช่นเดียวกัน โดยงวดที่ 1 วงเงินประมาณ 900 ล้านบาท งวดที่ 2 วงเงิน 540 ล้านบาท รวม 1,440 ล้านบาทโดยประมาณ และจะจ่ายงวดที่ 3-6 ทุกเดือนจนถึงเดือน เม.ย. 2565 โดยงวดที่ 3 จะเริ่มจ่ายวันที่ 7 ม.ค. 2565 วงเงิน 8,626 ล้านบาท สำหรับยางพารามีเงินเตรียมไว้ 10,065 ล้านบาท โดยวงเงินสูงสุดที่ได้รับเฉพาะงวดที่ 1-2 ยางแผ่นดิบสูงสุด 3,835 บาทต่อครัวเรือนน้ำยางข้น 2,975 บาท และยางก้อนถ้วยจะไม่ได้รับเงินส่วนต่าง ที่ผ่านมายางราคาดีกว่าช่วงก่อน สำหรับน้ำยางข้น ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 57 บาท ตอนนี้ราคาไปกิโลกรัมละ 60 บาทแล้ว ยางก้อนถ้วย ประกันที่กิโลกรัมละ 23 บาท ตอนนี้ 25-26 บาทแล้วภาคอีสานมากกว่าภาคใต้ 1 บาทเพราะอยู่ใกล้แหล่งการส่งออก ซึ่งยางก้อนถ้วยราคาสูงกว่ารายได้ที่ประกันมาเป็นปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม วันนี้ถือเป็นวัน Kick Off การจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผู้ปลูกยางพาราพร้อมกัน โดยพืชอีก 3 ชนิดสูงกว่ารายได้ที่ประกันแล้ว สำหรับข้าวโพด ประกันรายได้ที่ 8.50 บาท ตอนนี้ 9.60 บาท ปาล์มน้ำมันประกันที่ 4 บาท ตอนนี้ราคา 8-9 บาทและมันสำปะหลังประกันที่ 2.50 บาท ก็ไป 2.50-2.70 บาท ตอนนี้ราคาพืชเกษตรที่ประกันดีราคาเกือบทุกตัว ยกเว้นข้าวแต่ปีก่อนราคาข้าวดีพอสมควร แตะ 10,000 บาทสำหรับข้าวเปลือกเจ้า.-สำนักข่าวไทย